เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ก.พ. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาเนาะตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันพระ เวลาวันพระ วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าประเสริฐ มันประเสริฐจากหัวใจของเรา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ ๖ ปี จะเป็นกษัตริย์ สละราชสมบัติออกมา สละลูกสละเมียนะ เวลาสละลูก ลูกเพิ่งเกิด เวลาลูกเพิ่งเกิด คนที่เป็นสุภาพบุรุษ คนที่มีความผูกพัน มีความรักมาก แล้วมันต้องพลัดพราก มันสะเทือนใจแค่ไหน เวลาสะเทือนใจ พลัดพรากออกมาแล้วยังต้องไปค้นคว้าค้นหาสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรม มีรัตนะ ๒ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมมา ถึงเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พอเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก มีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คำว่า “พระสงฆ์ๆ” พระสงฆ์คือพระอริยสงฆ์ เวลาเราบวชขึ้นมา พระบวชขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ ดูสิ หลวงตาท่านบอกเลย โกนหัว โกนคิ้ว ห่มผ้าเหลือง ใครๆ ก็ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ แต่เวลาจะบวชหัวใจ ถ้าใจมันเป็นพระขึ้นมา เราถึงว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

วันนี้วันพระๆ พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้ปัญญาไตร่ตรองไป พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวา เราเป็นชาวพุทธ เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือสัจธรรมอันนั้น เวลาเป็นอริยสงฆ์ พระสงฆ์ขึ้นมาแล้วแสดงธรรมๆ ก็ต้องแสดงธรรมสัจธรรมอันนั้น สัจธรรมอันนั้นมันกังวานกลางหัวใจของพระอริยสงฆ์ ถ้าพระอริยสงฆ์มันเป็นสัจธรรมอันนั้น มันไม่พูดออกนอกลู่นอกทางหรอก คำว่า “ออกนอกลู่นอกทาง” นอกลู่นอกทางก็เรื่องทางโลกไง

ถ้าเป็นทางธรรมๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์จะเชื่ออย่างนี้แน่นอน เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะกว่าจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ท่านต้องสมบุกสมบันของท่าน ท่านต้องมีปัญญาของท่าน ต้องมีมรรคของท่าน มรรคคือมรรค ๘ คือสัจธรรมอันนี้ เรามีหน้าที่ขวนขวาย มีหน้าที่การกระทำ แต่เรื่องของผลๆ เพราะมรรคมันสมดุลแล้วมันถึงจะเกิดผล

ถ้าเกิดผลอันนั้นขึ้นมา พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านขวนขวายมาขนาดไหน ท่านทำของท่านมาขนาดไหน ท่านสำรอกคายกิเลสออกไปมากน้อยขนาดไหน ท่านรู้ของท่านขนาดนั้น ท่านรู้ของท่านขนาดนั้น เวลาท่านแสดงธรรมออกไปมันจะออกนอกลู่นอกทางได้อย่างใด เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัจธรรมในหัวใจอันนั้นไง

แต่ถ้าเป็นนอกลู่นอกทาง นี่เป็นเรื่องของโลกไง เราบวชพระๆ ก็มาจากโลกทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเขาถือมงคลตื่นข่าวๆ ความเชื่อของเขาๆ เวลาความเชื่อของเขา ถ้าเขามีความเชื่อของเขา เวลาถึงนักขัตฤกษ์ของเขา เขาก็ทำบุญกุศลของเขา ในความเชื่อของเขา ในวัฒนธรรมของเขา ถ้าวัฒนธรรมของเขา เขาเชื่อของเขาอย่างนั้นไง เราเป็นชาวพุทธๆ ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในความเชื่อของเขา เขาทำสิ่งใด ถ้าเป็นคุณงามความดี เขากตัญญูกตเวที เราเห็นแล้วเราก็ปลื้มใจไปกับเขา

แต่หลักการของอริยสัจ หลักการของความจริง เราจะปล่อยออก เราจะเลื่อนลอยออกไปไหม เราจะปล่อยไหลไปตามโลกไหม ถ้าปล่อยไหลไปตามโลก มันก็เป็นเรื่องโลก โลกียปัญญา ปัญญาทางโลก ถ้าปัญญาทางโลก เราเห็นเขา เพราะเราไม่มีสติปัญญาของเรา เราเห็นเขา เขาทำของเขา ทุกคนจะบอกว่า เวลาคนจีนเขาไหว้เจ้าแล้วเขารวยๆ บางคนไทยแท้เลย ก็อยากจะไหว้เจ้าไปกับเขา ถ้าไหว้เจ้าแล้วมันจะรวยๆ ไง

คำว่า “รวย” นะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา เราขยันหมั่นเพียรของเรา เรามีสติปัญญาของเรา ทำสิ่งใดมันต้องประสบความสำเร็จ ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ขวนขวายหมั่นเพียรของเรา เราหมั่นเพียรของเราเพราะอะไร เพราะคนเราทำบุญทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ถ้าการทำบุญทำกรรมไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนา แข่งบุญแข่งกุศล แข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ เกิดเป็นคนเหมือนกัน แต่คนทำประสบความสำเร็จ คนเกิดมาทุกข์ยาก เพราะอะไร เพราะเขาทำของเขามาๆ

คำว่า “ทำของเขามา” เหมือนกับเป็นการยอมจำนน...ไม่ใช่ยอมจำนน เราขวนขวายขนาดไหนมันก็ทำได้ขนาดนั้น เวลาเราเห็นของเขา ดูสิ ลัทธิต่างๆ เขาทำของเขา เราก็เชื่อว่าทำแล้วจะมั่งมีศรีสุขๆ เราก็ปรารถนาทั้งนั้น แต่ปรารถนาทั้งนั้นมันเป็นเรื่องของการแสวงหา เป็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยๆ เวลาแสวงหามา ดูสิ เวลาเขาประพฤติปฏิบัติกัน ในเมืองจีน ดูสิ เวลาพระถังซัมจั๋งเข้าไปจารึกพระไตรปิฎกมา เขาก็เป็นชาวพุทธ มันมีพุทธ มันมีเต๋า มันมีความเชื่อต่างๆ

ดูสิ เวลาความเชื่อของพราหมณ์ พราหมณ์มัน ๔-๕ พันปีมาแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาโต้แย้งกันๆ โต้แย้งกันด้วยข้อเท็จจริงไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นมงคลชีวิต มงคลชีวิต เขาทำ เขาประพฤติปฏิบัติธรรมของเขามา เขาทำของเขามา เขาก็ได้เรื่องโลกียะ ได้ฌานโลกีย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเปิดหัวใจของเขา เวลาแยกแยะของเขา

เขาบอกเขากราบทิศไหว้ทิศ

เราก็กราบเหมือนกัน แต่เราไม่กราบอย่างนั้น เรากราบครูบาอาจารย์ของเรา เรากราบพ่อแม่ของเรา เราบริหารเพื่อนหมู่คณะของเรา มันเป็นทิศ

เขาบอกว่าเขาล้างบาปๆ ในแม่น้ำ

ถ้าล้างบาปในแม่น้ำจระเข้ เต่า มันก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วมันแช่อยู่ในน้ำนั้น

มันเชื่อตามๆ กันมา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านชำระล้างชำระล้างด้วยมรรค ด้วยน้ำใจ เพราะใจนี้มันติดข้อง ใจนี้มันทุกข์มันยาก มันก็ต้องการน้ำใจขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเกิดขึ้นมา

เวลามรรค เราก็ไปท่องจำกันมา งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ เวลาชอบของมันนะ แต่เราปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เวลาปฏิบัติ ดูสิ เวลาปฏิจจสมุปบาท ที่เขาเขียนให้หลวงตาดู ปฏิจจสมุปบาท ท่านบอกไม่ดูๆๆ ไอ้นี่มันจดจารึกกันมา ความจริงมันเร็วกว่านี้ มันรุนแรงกว่านี้ มันกระชับกว่านี้ มันรู้จากใจอย่างนั้น นี่เวลาทำความจริงมันเป็นแบบนั้น นี่พูดถึงว่ามรรค เราไม่รู้จักมรรคผล เราก็แสวงหา เราก็พยายามทำตามไป

เวลาเขาประพฤติปฏิบัติเขาบอกว่า เขาปฏิบัติแล้วเขาเป็นเซียน ปฏิบัติแล้วเขาเป็นเทพ

เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เวลาพระโมคคัลลานะท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ท่านไปสวรรค์ ในนครราชคฤห์ ใครตายที่ไหนท่านไปมา มาพูดที่นครราชคฤห์ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านลงไปเที่ยวนรกอเวจีขึ้นมา

เขาเป็นเซียนๆ เขาไปไหน

นี่เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพไม่สามารถบังพระโมคคัลลานะได้เลย แต่เวลาพระเทวทัต เทวทัตเขาทำฌานโลกีย์ของเขา เขาแปลงร่างของเขาไปเป็นงูอยู่บนหัวอชาตศัตรู นี่เป็นฌานโลกีย์ มันไม่มีมรรค ไม่มีมรรคเป็นพื้นฐานขึ้นมา มันก็ติดฌานโลกีย์อยู่อย่างนั้น แล้วเวลามันเสื่อม เสื่อมหมดเลย เทวทัตเสื่อมลาภ

เวลาคิดจะแย่งชิงอำนาจจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฌานโลกีย์นี้เสื่อมหมด ความในใจ สมาธิเสื่อมหมด ทำอะไรไม่ได้เลย แล้วไม่มีใครใส่บาตร ก็เลยให้ลูกศิษย์ลูกหาไปขอจากญาติมา คณโภชนะเกิดจากตรงนี้ เกิดจากที่ว่าเวลาฉันมาฉันเป็นวงไง พอฉันเป็นวงแล้วนางวิสาขาไปเห็นเข้า ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติคณโภชนะ ภิกษุฉันเป็นคณะ เป็นอาบัติปาจิตตีย์

มันมีมา ความเชื่อๆ เป็นความเชื่ออย่างนั้นไง แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงของเรา เราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ เรามีหลักของเรา พุทธมามกะให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรามีสัจจะ เรามีจุดยืนของเรา

ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจมีหลักมีเกณฑ์ สังคมมันจะไม่เหลวแหลกไปอย่างนั้น ในความเชื่อของเขา ในความเชื่อเป็นไสยศาสตร์ ความเชื่ออย่างนั้นมันเป็นผลของการแสวงหา ผลของการได้มีได้มีเสีย นี่มันเรื่องของเขา

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ เราทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เรามีจุดยืนของเรา เรามีศีล เรามีสมาธิ มีปัญญาของ เราแยกแยะของเรา แล้วเราเห็นแล้วเราสังเวชไง ธรรมสังเวชไง ธรรมสังเวช เพราะเขาเชื่ออย่างนั้นๆ เพราะว่าสิ่งนี้เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฟื้นฟูศาสนามา เมื่อก่อนก็มีความเชื่ออย่างนี้ แล้วพระก็เป็นแค่ตรายาง พระบวชไว้ก็บวชไว้พอทำพิธีกรรม

เวลาหลวงปู่ขาวท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ ญาติพี่น้องบอกว่า “ไม่ต้องไปเลย เป็นพระก็สุขสบายอยู่แล้ว ก็สุขสบายอยู่แล้วต้องไปทำไม”

หลวงปู่ขาวท่านออกไปท่านคิดในใจเลย “ถ้าก้าวออกจากวัดนี้ไป ไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์จะไม่ย้อนกลับมาเลย” แล้วท่านก็ธุดงค์วิเวกไป ขวนขวายไป ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ไปให้หลวงปู่มั่นขัดเกลาในใจของท่าน นี่เวลาจิตใจเข้มแข็ง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาศาสนามันเจริญขึ้นมา เวลาเขาถือผีถือสางกันมา คำว่า “ถือผีถือสาง” ในสมัยก่อนหน้านั้น ทางภาคอีสานเขาถือของเขา เขาถือผีนะ ทำอะไร แกร๊ก! ก็ผีมา กลัวไปหมด มันไม่มีที่พึ่งไง เราไม่มีที่พึ่ง เราก็ต้องพึ่งเรื่องจิตวิญญาณ พอพึ่งเรื่องจิตวิญญาณ พอได้สิ่งใดมาก็ต้องให้ผีกินก่อน ได้สิ่งใดมาก็ต้องถวายผีครึ่งหนึ่ง แล้วเราก็ได้กินครึ่งหนึ่ง ชีวิตมีความทุกข์ไหม

ชีวิตเราทำมาหากินก็ทุกข์ยากพอแรงอยู่แล้ว ได้สิ่งใดมาต้องให้ผีกินก่อน มันเน่าแล้วคนเราถึงได้กิน เพราะมันเน่าแล้วเราถึงจะได้กิน ต้องถวายผีก่อน กลัวเขาจะทำร้าย กลัวเขาจะไม่ส่งเสริมให้เรามั่งมีศรีสุข ให้เราร่ำรวย แล้วถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ร่ำรวยหมดเลย ทุกคนถือเดี๋ยวนี้พร้อมกันเลย ดูประเทศไทยมันจะร่ำรวยไหม...มันเป็นไปไม่ได้

ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ เรามีจุดยืนของเรา เรามีจุดยืนของเรา ถ้าเราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันเป็นความจริงขึ้นมา ดูสิ อย่างที่ว่าพระโมคคัลลานะท่านก็เหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วท่านเหาะเหินเดินฟ้าได้ ท่านเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์” จิตใจมันไม่วอกแวกวอแว มันคงที่ของมัน ท่านเป็นพระอรหันต์เพราะไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ

แต่ถ้าเวลาเขาทำของเขา เขาทำได้ชั่วครั้งชั่วคราว ดูเทวทัต เทวทัตเขาเหาะเหินเดินฟ้าได้เหมือนกัน แต่เวลาจิตมันกระทบกันมันเสื่อมหมดเลย ถ้าเสื่อมหมดเลย แล้วทางโลกที่เขาทำๆ คนนั้นก็มีฤทธิ์มีเดช

มีฤทธิ์มีเดช ทำไมไม่ปราบกิเลสของตน ถ้ามีฤทธิ์มีเดช ทำไมไม่เอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน ถ้ามีฤทธิ์มีเดช มันมีความสุข เขาต้องอยู่ในกุฏิ เขาต้องอยู่ในป่าในเขา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสำเร็จของท่าน ท่านไม่เคยออกมายุ่งกับโลกเลย ใครจะทำบุญกับหลวงปู่มั่นต้องซื้อถนนเข้าไปนะ ต้องซื้อทางเข้าไปนะ ไปหาท่าน ทุกคนแสวงหาไปหาท่าน เพราะเชื่อในคุณงามความดีของท่าน เพราะเชื่อในความดีของท่าน เวลาทำแล้ว บุญกุศลนั้น เนื้อนาบุญของโลก สิ่งที่เป็นบุญกุศล แล้วเนื้อนาที่ดี เราทำสิ่งใดขึ้นไปมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรา

เพราะว่าจิตใจอ่อนแอ จิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ จิตใจเราไม่มีจุดยืนพอ มันก็หวั่นไหวไปกับกระแสโลก แล้วกระแสโลก ดูสิ บริษัทจัดอีเวนต์เขาทำได้ทั้งนั้นน่ะ เราซื้อได้ แสงเลเซอร์ก็ซื้อได้ จะทำความมหัศจรรย์อะไรก็ได้ มันเป็นได้หมด แต่สมัยพุทธกาลมันไม่มี คนเหาะเหินเดินฟ้าได้ก็ต้องเหาะเหินเดินฟ้าได้จริงๆ แต่เดียรถีย์มันก็มีเรื่องมาปั่นป่วนตลอด นี่เรื่องของความเชื่อ ความเชื่อนะ มันเชื่อ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ เพราะมีความเชื่อ เราถึงขวนขวายการแสวงหา เพราะมีความเชื่อ สัทธาจริต ถ้ามีความเชื่อมั่นแล้วกำหนดพุทโธๆ มันจะมั่นคงของมัน ถ้าเป็นพุทธจริต มันปัญญามาก มันสงสัยมาก มันไม่เชื่อ อะไรก็ต้องค้นคว้าก่อนๆ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านบอก พระฝรั่งส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยเชื่อ ฉะนั้น พอจิตเขาเป็นสมาธิแล้วเขาก็ปล่อยให้เสื่อม พอเสื่อมแล้วก็ทำสมาธิใหม่ ทำอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะว่าเขาต้องพิสูจน์ไง ถ้าพิสูจน์สิ่งที่เป็นนามธรรม

ถ้าคนมีสติปัญญา เวลาจิตสงบมามันรู้ของมันนะ มีสติ มันเห็นความสงบ สงบมันเป็นอย่างไร โอ้โฮ! จิตมันมั่นคง จิตมันรับรู้ ไอ้เรามันสงบแล้วมันอ่อนแอ มันเป็นอะไรเนี่ย ไอ้นี่มันเป็นอะไรเนี่ย เหมือนเคลิ้มๆ เหมือนคนนอนฝัน เพราะอะไร เพราะมันสติไม่สมบูรณ์ไง

แต่ถ้ามันฝึกหัดบ่อยครั้งเข้า มีความมั่นคงมากขึ้นๆ จิตตั้งมั่นๆ จิตพอสงบแล้วมันต้องตั้งมั่น ถ้าไม่ตั้งมั่น เราจะเอาจิตออกไปแสวงหาอะไร ดูสิ เวลาความคิดๆ เกิดจากไหน ความคิดเกิดจากจิต ความคิดมันเกิดขึ้นมา แต่จิตมันสงบแล้วให้มันทำงาน ให้มันออกแสวงหา ออกขุดคุ้ย เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นี่ชาวพุทธเขาสอนตรงนี้ ถ้าชาวพุทธสอนตรงนี้ นี่เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์คือมันเป็นทรัพย์ภายใน

เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดแล้ว สงฆ์องค์แรกของโลกเกิดแล้ว สงฆ์มันเกิดที่ไหนล่ะ อริยทรัพย์มันเกิดที่ไหนล่ะ? มันก็เกิดที่จิต เพราะจิตเวียนว่ายตายเกิด ถ้าจิตเวียนว่ายตายเกิด จิตมันก็ต้องรู้สิ มันสำรอกมันคายอะไรของมันออกไป ถ้ามันสำรอกมันคายออกไปเป็นอกุปปธรรม เป็นความมั่นคง ศีล สมาธิ ปัญญา สติมันสมบูรณ์ มันไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร เราไม่รู้ตัวเราเองได้อย่างไร มันต้องรู้ตัวเองมั่นคงสิ ถ้ารู้ตัวเองมั่นคง มันมีจุดยืน เห็นไหม

ย้อนกลับมา พอมันมั่นคงแล้วมองไปทางโลก ทางโลกมีความเชื่อ เขามีความเชื่อเหมือนกัน แต่ความเชื่อของเขา เขาแสวงหาได้แค่นั้น ความเชื่อของเขาได้แค่นั้น แล้วความเชื่อนะ ดูสิ เวลาคนที่มีสติปัญญาอย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ขาว เวลาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ สังคมรั้งไว้ๆ “จะไปทำไม จะไปทำไม” เขาเชื่อแค่นั้นไง เขาเชื่อว่าอยู่วัดอยู่วามันก็มีปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์อยู่แล้ว พระก็เป็นพระอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องไปแสวงหาอะไร นี่เป็นสมมุติสงฆ์ๆ พระเกิดจากวินัยกรรม พระเกิดจากญัตติจตุตถกรรม ถ้าพระเกิดขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว แต่หัวใจมันยังเร่าร้อน หัวใจยังมีความทุกข์อยู่ พระเขาต้องมีพระในใจ

ถ้าพระในใจมันจะเกิดจากอะไร? มันก็ต้องเกิดจากมรรคจากผล มันต้องเกิดจากมรรค ๘ เกิดจากการกระทำที่ถูกต้องดีงาม ถ้าการกระทำที่ถูกต้องดีงาม มันก็ยังแฉลบ ยังแฉลบอยู่ แฉลบ เดี๋ยวพอดีขึ้นมาก็มีความสุขอยู่ชั่วคราว เวลามันเสื่อมขึ้นมามันทุกข์ร้อนไปทั้งนั้นน่ะ แล้วมันทุกข์ร้อนขึ้นมา เพราะเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะประสบการณ์อย่างนี้ มันจะเจริญต่อเนื่องไปตลอดเวลา จิตใจมันวอกแวกวอแวอย่างนี้มันจะมั่นคงได้อย่างไร ถ้ามันมั่นคงไม่ได้ เราก็ฝึกหัดของเราๆ เวลามันเสื่อมแล้วมันก็ทุกข์ขนาดไหน เวลาทุกข์ไหนเราก็พยายามฟื้นฟู เวลาฟื้นฟู

คนที่ปฏิบัติใหม่ เวลาเราไม่เจอสิ่งใดเลย ไม่มีอะไรคาดหมาย มันก็พยายามดั้นด้นทำของเราให้ได้ แต่คนที่เคยได้แล้ว เราเคยได้แล้ว มันคิดแต่เคยได้แล้วๆ แต่ไม่คิดถึงว่าได้เพราะอะไร ถ้ามันได้เพราะอะไร เราต้องกลับมาตรงนั้น กลับมาตรงที่เราได้เพราะอะไร แล้วเราต้องกระทำอย่างนี้ กระทำมรรค เราทำได้แค่มรรค เราทำได้แค่ศีล สมาธิ ปัญญา เราพยายามสร้างสมสะสมให้มรรคของเรามั่นคง ให้มรรคของเราต่อเนื่องดีงาม

ถ้ามรรคต่อเนื่อง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ ถ้ามันมีมรรค มันมีเหตุพอสมควร ผลมันต้องเกิดๆ แต่นี่ผลมันไม่เกิดเพราะอะไร เพราะหนึ่ง อำนาจวาสนาของคน การกระทำของเรา เราคาดเราหมายของเรา ไม่เป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา มันจะเกิด เกิดมรรคขึ้นมา มรรคขึ้นมา มันพิจารณาของมัน มันสำรอกมันคาย มันเป็นปัจจัตตัง มันรู้

สมาธิยังมีความสุขขนาดนี้ เวลามันสำรอกมันคายออกไป ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาท่านพิจารณาของท่าน ไปถึงทางตัด ไปถึงหน้าผาตัด ไปถึงทางตัน มันไปไม่ได้ๆ ท่านถึงพิจารณาของท่าน มาพิจารณาของท่าน พอพิจารณาของท่าน อ๋อ! เราเคยปรารถนาพระโพธิสัตว์ไว้ ท่านถึงไปลาพระโพธิสัตว์ของท่าน แล้วท่านก็มาเริ่มพิจารณาใหม่ พอพิจารณาใหม่ พอมันพิจารณากายไป มันปล่อยวางของมันไป ขณะเป็นสมาธิก็รู้ว่าเป็นสมาธิ เวลาพิจารณาไปแล้วมันเป็นมรรคก็รู้ว่ามันเป็นมรรค ก่อนหน้านั้นมันพิจารณาไปแล้วมันไม่เป็นมรรค เพราะเป็นฌานโลกีย์ เพราะมันเป็นความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มันจะเข้าสู่มรรคไม่ได้ ถ้าเข้าสู่มรรคแล้ว พอมันชำระล้างกิเลสไปแล้ว พระโสดาบันก็อีก ๗ ชาติ

เป็นพระโพธิสัตว์มันต้องพยายามสร้างสมบารมีไป ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ไปข้างหน้าๆ ยังไปอีกยาวไกล ฉะนั้น เวลาท่านใช้ปัญญาของท่าน เวลาพิจารณาของท่าน เวลามันสำรอกมันคาย เออ! มันต้องอย่างนี้สิ คำว่า “มันต้องอย่างนี้” มันรู้จริงไหม มันเป็นประจักษ์พยานในหัวใจไหม มันเป็นประจักษ์พยานในหัวใจนี่ไง มันรู้ที่ใจๆ ใจที่มันเป็นจริง ถ้าเป็นชาวพุทธ เรามีหลักมีเกณฑ์ที่นี่

นี่พูดถึงพระพุทธศาสนามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐเพราะเป็นธรรมโอสถที่สามารถปราบปรามความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วเวลาพิจารณาแล้วจบสิ้นแล้ว ดูสิ เวลาพระโมคคัลลานะไปเที่ยวนรกสวรรค์ ไปได้หมด

คำว่า “ไปได้หมด” มันเป็นวัฏฏะ แต่นี่มันพ้นจากวัฏฏะไปแล้วเป็นวิวัฏฏะ มันพ้นกามภพ รูปภพ อรูปภพไปแล้ว แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิด ไปสิ่งนั้นมาไปจรรโลง เห็นมาแล้วมาประกาศที่นครราชคฤห์ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกใช่ๆๆ นี่ศาสนาถึงมั่นคง ศาสนาถึงแข็งแรงขึ้นมาเพราะมีคนเคารพนับถือ

ลัทธิต่างๆ เขาเห็นถึงความเสื่อมลาภของเขา ความเสื่อมลาภเพราะว่าพราหมณ์มีมาแล้ว ๔-๕ พันปี ลัทธิศาสนาอื่นเขามีของเขาอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน ความเชื่อๆ ไง ความเชื่อมันมีอยู่แล้ว นี่กระแสวัฒนธรรม

วันนี้วันพระ วันพระ ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะจะคุ้มครองเรา คนทำคุณงามความดี คนทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม รัตนตรัยจะคุ้มครองเรา ธรรมะจะคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม เอวัง